1

Button Text! Submit original article and get paid. Find out More

วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ช่วงชีวิตในวันวานครั้นที่ผมยังเป็นเด็ก

ถ่ายกับเจ้าโลโซ เสื้อกับด้าน

ครั้นตอนเป็นเด็ก

       เมื่อครั้นตอนยังเด็กสิ่งที่ผมและเด็กๆทุกสมัยต้องเจอกับคำถามที่ว่า "โตขึ้น หนูอยากเป็นอะไร" ผมตอบไปโดยไม่ลังเลว่าอยากเป็นตำรวจ และคำตอบส่วนมากที่มาค้นพบก็มักไม่แตกต่างกัน กับคำตอบที่ว่า หมอ,พยาบาล,ทหาร,ตำรวจ เมื่อวัยชีวิตผ่านพ้นเข้าทุกช่วงอายุ ความคิดเริ่มเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ผมถูกเติบโตมากับสังคม วิถีชีวิตคนชนบท 
          ของเล่นสมัยนั้นผมและเพื่อนๆยังคงเล่นไปตามวิถีเก่าแก่ อย่างเช่น ชนกว่างในช่วงเข้าพรรษา เล่นว่าวตอนชาวบ้านเกี่ยวข้าวเสร็จ ทางเหนือจะเกี่ยวข้าวช้ากว่าทางภาคอีสาน ว่าวเราก็จะทำกันเองโดย พอตกเย็นๆเราก็จะนำว่าวมาลานประลองที่ กลางสนามโรงเรียน ทุกของเล่นที่เราเล่นกันในสมัยนั้นเราจะทำกันขึ้นมาเอง อย่างว่าวเราก็ไปหาผู้เฒ่าผู้แก ที่มีฝือมือแถวบ้านสอน พวกเราก็รู้ว่าไผ่ชนิดอะไรที่เบาควรนำมาทำว่าว หรือถ้าจะหากวางมาชน ต้องหาจากต้นไม้อะไร มันทำให้ผมในสมัยนั้นสามารถอยู่กับช่วงวันหยุดได้โดยไม่เบื่ออะไรเลย งานที่ผมทำก่อนออกไปเล่นข้างนอก เพียงแค่กรอกน้ำใส่ตู้เย็น สมัยนั้นผมยังตื่นมาดูการตูนช่อง 9 ของ(น้าต๋อย เซมเบ้) หรือ เจ้าขุนทองช่อง 7 

เพื่อนเด็กๆแถวบ้านตอนนี้ผมก็ยังติดต่อกับอยู่เสมอเรายังหยอกล่อเรื่องสมัยเด็กๆ ถึงแม้ว่าบ้างคนจะมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว โดยเรายังมีวันพบปะกันที่บ้านผมทุกๆสิ้นปี เพื่อถามไถ่ทุกข์สุขดิบกัน
ภาพสมัยตอนผม 4-5 ขวบ

ครั้นตอนโตเป็นหนุ่ม

          เมื่อผมเรียนจบ ม.3 ถึงเวลาที่ชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงไปอีกระดับหนึ่งผมเลือกที่จะเรียนสายอาชีพ ด้วยความคิดที่ว่า เบื่อทรงผมหัวเกรียนเต็มที่แล้ว อยากเป็นเด็กช่าง จึงได้เข้าสู่เมืองใหญ่ครั้งแรกด้วยการเข้าไปเรียนต่อ โรงเรียนช่างเอกชนแห่งหนึ่งใน ตัวเมืองเชียงใหม่ สาขาช่างไฟฟ้า สมัยนั้นเรียกว่า วัยฮอร์โมนกำลังพุ่งเริ่มจากการคบเพื่อนใหม่ ทำให้ช่วงชีวิตผมนั้นตอนนั้นได้ลองอะไรครบสูตร ทั้งเที่ยวกลางคืน ติดเกมส์ และเริ่มคบผู้หญิง แต่ด้วยที่ด้วยเป็นเด็กบ้านนอกที่ค่อยเตือนสติให้ตัวเองยังรอดและเรียนจบมาได้ ครั้นจบ ปวช (เทียบเท่า ม.6) ผมได้ลองสอบเข้า คณะวิศวะไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ผลสอบออกมาก็แห้ว ต้องกับไปซบอกโรงเรียนเดิม คือเรียนต่อ ปวส อีก 2 ปีพอจบ ปวส. ออกจากใจมันหวิวๆเหมือนเราจะต้องทำงานเป็นผู้ใหญ่แล้ว ประจวบกับตอนนั้นอายุก็ 21 พอดีถึงวัยเกณฑ์ทหาร
          หลังจากเสร็จภาระกิจเกณฑ์ทหารแล้ว ทางเลือกที่ต้องเลือกให้ชีวิตก็มาถึงอีกครั้ง ระหว่าง ทำงาน และสอบเข้ามหาลัยอีกครั้ง ในสภาพตอนนั้นผมได้เลือกลองสอบ วิศวะไฟฟ้าอีกครั้งและผลสอบก็แห้วอีกตามเคย ผมมีทางเลือกอยู่ไม่กี่ที่สำหรับทางไฟฟ้า ระหว่างไปเรียน ม.ราชภัฏลำปาง 2 ปีต่อเนื่อง และ ไฟฟ้ามหาลัยเอกชน ผมมานั่งคิดอยู่นาน อาจจะคิดอยู่ตลอดผมเรียนไฟฟ้าไปทำไม ผมชอบจริงเหรอ ทำไมมันมีทางเลือกน้อยจัง ผมตัดสินใจครั้งใหญ่ผมบอกแม่ "แม่ผมจะเป็นนักดนตรี" ผมเลือกที่จะกำลับไปเรียน ปริญาตรี 4 ปีใหม่โดยผมเลือกลงคณะ ดุริยางคศิลป์ โดยเราสามารถเลือกลงได้ 3 สาขาผมเลือก
  1. ดุริยางคศิลป์ 5 ปีจบมาเป็นครูสอนดนตรี
  2. ดุริยางคศิลป์ 4 ปี เอกดนตรีสากล
  3. การโปรแกรมและการรักษาความปลอดภัยบนเว็บ (พี่ชาย ห้อยไว้ให้กันเหนียว)
หลังจากผลสอบออกมา ผมติดอันดับ 3 ไปเรียบร้อยเพียงเพราะว่าเป็นสาขาที่เปิดใหม่ไม่มีใครเรียนเลยติดง่าย ผมเป็นรุ่นที่ 2 ของสาขานี้ด้วยความที่เราเรียนช้ามา 2 ปีแล้วต้องมาเรียนร่วมกับเพื่อนร่วมชั้นที่เด็กกว่า ทำให้ผมสามารถเรียนแบบสบายๆ ไม่ค่อยหลงไปกับการเที่ยวเตร่ เพราะเคยอยู่ในวัยนั้นมาก่อนแล้ว ผมให้ผมจบมาแบบสบายๆ และมีความรู้ในสายงาน โปรแกรมเมอร์ อยู่บ้าง

ประวัติคร่าวๆช่วงวัยเรียนที่ผมสรุปมา บ้างครั้งผมภูมิใจที่ผมเป็นเด็กที่ผ่านโลกมาเยอะ ทำให้เราเป็นภูมิคุ้มกันกับโลกข้างนอกเยอะขึ้น สรุปผมอยู่เชียงใหม่มา 9 ปีเรียกได้ว่าเชียงใหม่เป็นบ้านของผมไปแล้ว

เกี่ยวกับผู้เขียน

"พ่อหนุ่ม เจ้าสำราญ" นามปากกาของผม ผมเติบโตมากับการหาอิสระทางการเงิน จนผมคิดได้ว่าอิสระทางการเงินสำหรับผมไม่ใช่การมีเงินมากๆ แต่การอยู่ดำรงชีวิตโดยพยายามลดค่าของเงินนั้นลง โดยผมเลือกงานเกษตรแบบธรรมชาติเป็นตัวตอบโจทย์ชีวิตให้กับผมนั้นเอง

0 ความคิดเห็น :

General